จากข่าวเตือนภัยเรื่องช่องโหว่ของระบบสแกนนิ้วมือใน Galaxy S10 ซึ่งมีคนพบว่าถ้าใช้ฟิล์มกันรอยหน้าจอแบบไม่ได้มาตรฐานแล้ว ตัวฟิล์มจะมีลายนิ้วมือเจ้าของเครื่องติดอยู่บริเวณเซ็นเซอร์สแกนนิ้ว ทำให้หลังจากนั้นแม้แต่คนที่ไม่ได้ลงทะเบียนลายนิ้วมือเอาไว้ก็สามารถปลดล็อคเครื่องได้สบายๆ ทำให้ตอนนี้ธนาคารหลายแห่งทั่วโลก เริ่มทะยอยปลดมือถือทั้ง Galaxy S10 และ Note 10 ออกจากแอป e-Banking กันแล้ว
งานเข้าซะแล้วสำหรับผู้ใช้งานมือถือซีรีส์ Galaxy S10 หลัง BBC รายงานว่ามีหญิงสาวชาวอังกฤษซื้อฟิล์มกันรอยหน้าจอราคาถูกมาติดโทรศัพท์ แล้วพบว่าหลังจากนั้น ทุกคนสามารถใช้นิ้วมือสแกนปลดล็อคหน้าจอของเธอได้แบบสบายๆ แม้ยังไม่ได้ลงทะเบียนลายนิ้วมือ ด้าน Samsung รับรู้ปัญหา และเตรียมปล่อยอัพเดทเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ตั้งแต่เหล่ามือถือเริ่มเปลี่ยนมาใช้ระบบสแกนนิ้วมือเพื่อปลดล็อคเครื่องตั้งแต่ราวๆ 6 – 7 ปีที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นระบบสแกนที่แตกต่างกันออกไปในมือถือแต่ละรุ่น โดยยุคแรกๆ เราจะสแกนนิ้วผ่านปุ่ม Home กัน ถัดจากนั้นก็เริ่มล้ำขึ้นมาด้วยการสแกนนิ้วบนหน้าจอได้.. แล้วการสแกนนิ้วแต่ละแบบเนี่ย มันแตกต่างกันยังไงบ้าง และแบบไหนที่ปลอดภัยกว่ากัน?
วางขายกันไปได้สักพักแล้วสำหรับ Galaxy S10 และ Galaxy S10+ แม้ว่าหลายคนจะชอบใจในหลายฟีเจอร์ใหม่บน Galaxy S10 แต่ดูเหมือนว่าปัญหาเรื่องการแสกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอไม่ค่อยจะติด จะมีคนพบเจอมากขึ้นแม้จะลองทำตามคำแนะนำที่บางคนได้เคยบอกเอาไว้ก่อนหน้าแล้วก็ไม่หาย ซึ่งหลังจากที่เราได้คุยกับทีมพัฒนา ทางเค้าก็แจ้งรับทราบและเตรียมแก้ปัญหาให้เสร็จในเร็ววันนี้
จากที่มีรายงานว่าผู้ใช้งาน Samsung Galaxy S10 และ S10+ กลุ่มแรกที่ได้รับเครื่องไปแล้วจากโปรโมชั่น “กล้าท้าจอง” ประสบปัญหาสแกนนิ้วติดบ้างช้าบ้างหรือสแกนไม่ติดเลยก็มี ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้แนะนำไปรอบนึงแล้วว่าให้สแกนแบบเอานิ้วแตะจึ๊กเดียวก็พอไม่ต้องกดค้าง แต่ถ้าใครที่ยังคงมีปัญหาการสแกนนิ้วอยู่ ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีสาเหตุอื่นๆ อย่างเช่นฟิล์มกันรอย หรือกระจกกันรอยที่ไปติดเพิ่มมานั่นเอง
ตอนนี้น่าจะมีคนที่ได้เป็นเจ้าของมือถือเรือธงสุดเทพรุ่นล่าสุดอย่าง Galaxy S10 / S10+ กันหลายคนแล้ว โดยหนึ่งในฟีเจอร์สุดล้ำที่พึ่งจะได้เห็นกันในรุ่นนี้ก็คือระบบปลดล็อคเครื่องบนหน้าจอแบบ Ultrasonic นั่นเอง แต่ก็ยังมีบางคนที่เจอกับปัญหาน่าหงุดหงิดใจว่า “ทำไมมันใช้เวลาปลดล็อคนานจัง?” ซึ่งจริงๆ แล้วปัญหาดังกล่าวมันไม่ได้เกิดจากตัวฮาร์ดแวร์หรือซอฟท์แวร์อะไรหรอก.. มันผิดที่เราเองนี่แหละ!