ยิ่งเทคโนโลยีของปัญญาประดิษฐ์ล้ำขึ้นฉลาดขึ้นมากเท่าไหร่ โลกเราก็ดูจะน่ากลัวขึ้นมากเท่านั้น หลังจากที่ปัจจุบันเริ่มมีข่าวการเอาปัญญาประดิษฐ์ไปใช้งานในรูปแบบผิด ๆ เพื่อสนองความต้องการของมิจฉาชีพและในแวดวงอาชญากรรม ล่าสุดเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในอังกฤษถูก AI ปลอมเสียงเป็น CEO ออกคำสั่งให้โอนเงินไปให้ รู้ตัวอีกทีเสียไปร่วม 7 ล้านบาท
หรือปี 2019 จะเป็นปีชงของบรรดา Tech Giants หรือไงไม่ทราบ หลังจากที่ทยอยกันควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าปรับ ค่าชดเชย ค่าเสียหายให้กับบรรดารัฐบาล รวมถึงผู้บริโภคกันอย่างถ้วนหน้า คราวนี้เป็นตาของ Google ปิดท้ายไตรมาส 3 กันบ้าง ที่ล่าสุดมีรายงานว่าจะขอยุติข้อพิพาทกับรัฐบาลสหรัฐ ฯ ในปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิเยาวชนบนแพลตฟอร์ม YouTube ส่อแววจะต้องควักกระเป๋าเป็นเงินกว่า 6,000 ล้านบาทเลยทีเดียว 😯
ถึงแม้ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง Huawei มากนักสำหรับปัญหาคาราคาซังเกี่ยวกับการถูกขึ้นบัญชีดำ จากรัฐบาลสหรัฐ ฯ ที่ยังไม่มีท่าทีจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าอะไรยังไง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้แย่อย่างที่คิด หรือไม่ก็ดวงแข็งมากจริง ๆ เพราะล่าสุดมีข่าวลือออกมาอีกรอบแล้วว่าทางรัฐบาลสหรัฐ ฯ กำลังเล็งที่จะประกาศเลื่อนผลบังคับใช้ประกาศบัญชี Entity List หรือก็คือเลื่อนโทษแบนให้กับ Huawei อีกรอบหนึ่ง เพิ่มเติมอีก 90 วัน
เรียกว่าฉาวกันต่อไปยาว ๆ สำหรับ Facebook Inc. ที่ล่าสุดถูกพนักงานออกมาแฉว่า มีการจ้างพนักงานแบบ Outsource ซึ่งนับเป็นบุคคลภายนอกมานั่งฟังคลิปเสียงที่ถูกส่งผ่านระหว่างผู้ใช้บริการแอปพลิเคชั่น Messenger เพื่อตรวจสอบฟังก์ชั่น Audio Transcribe ที่เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 2015 โดย Facebook ได้ออกมายอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่ล่าสุดได้เลิกทำมา “กว่า 1 สัปดาห์แล้ว”
นอกจากระบบล่มเก่งแล้ว ช่วงนี้ดูท่าอาจจะจ่ายค่าปรับเก่งอีกด้วยสำหรับ Facebook หลังจากล่าสุดแพ้อุทธรณ์คำร้อง สำหรับคดีในศาลชั้นต้นของมลรัฐอิลลินอยซ์ ในข้อหากระทำการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลในข้อมูลชีวภาพประเภท Face Recognition โดยถูกสั่งให้กลับไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันต่อในศาล คาดอาจสูญเงินไปกับค่าปรับส่วนนี้อีกร่วม ๆ แสนล้านบาทเลยทีเดียว
งานนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่งแบบอะไรก็ฉุดไม่อยู่แม้กระทั่งการขึ้นบัญชีดำ (Entity List) ของสหรัฐ ฯ ก็ตาม สำหรับ Huawei Technologies ที่ล่าสุดได้ออกมาประกาศผลประกอบการรอบครึ่งปีแรกของ 2019 ที่ทำรายได้เอาไว้มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 23% ทั้ง ๆ ที่กำลังอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และ สงครามการค้ากับสหรัฐ ฯ
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาชื่อของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านอย่าง 3BB หรือ JAS ดูจะผ่านหูผ่านตาพวกเรามากเป็นพิเศษ หลังจากที่มีข่าวลือเรื่องการขายกิจการไม่เว้นแต่ละวัน เริ่มจาก AIS ที่ตกเป็นข่าวลือว่ามีการเจรจาต่อรองกันเพื่อเข้าซื้อกิจการ หรือแม้แต่ DTAC ที่มีข่าวดีลความร่วมมือในกิจการหรือควบรวม จนล่าสุดกลายเป็นยักษ์ใหญ่จากเกาหลีอย่าง KT ที่ถูกลือว่าติดต่อเข้าซื้อกิจการเพื่อที่จะเข้าทำธุรกิจโทรคมนาคมในไทย วันนี้เราจะพาไปดูโอกาสของแต่ละเจ้ากันว่า ใครจะปังสุดหากได้ 3BB ไปอยู่ในมือ
ไม่แน่ว่าข่าวนี้ อาจนับเป็นการตัดไฟดราม่าขายชาติปานกบฎเสียแต่ต้นลมจากกรณีดราม่าเมื่อช่วงวันก่อนก็เป็นได้ 😆 สำหรับ Google ที่ล่าสุดได้ออกมาประกาศยอมรับอย่างเป็นทางการ ถึงการตัดสินใจหยุดพัฒนาโครงการ Search Engine พิเศษสำหรับประเทศจีน หรือที่รู้จักกันว่า Project Dragonfly ต้องถูกหยุดเอาไว้ก่อนอย่างไม่มีกำหนด
ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ ฯ กับ จีนยังไม่ทันได้ข้อสรุปดี ดันมีประเด็นใหม่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “ระดับโลก” ให้ติดตามกันอีกคู่สำหรับข้อพิพาทระหว่างญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ที่ทางรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นได้ออกมาประกาศมาตราการควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญสำหรับธุรกิจเทคโนโลยี โดยดึงเกาหลีใต้ออกจากลิสต์สิทธิประโยชน์ เล่นเอาบริษัทเทค ฯ ชั้นนำอย่าง Samsung | LG | Sony ออกอาการนั่งไม่ติดไปตาม ๆ กัน
ประเด็นเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลบนโลกออนไลน์ได้กลายมาเป็นเรื่องที่หลายชาติทั่วโลกต่างให้ความสนใจ ซึ่งล่าสุดทางฝั่งสหรัฐอเมริกากำลังพิจารณาร่างกฎหมายใหม่ในเรื่องนี้ที่อาจเรียกได้เป็นมิติใหม่ของการจัดการกับเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลเลยทีเดียว เมื่อบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกอย่าง Google | Facebook | Apple อาจจะต้องแถลงต่อรัฐบาลสหรัฐว่า ข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเราแต่ละคนที่บริษัทพวกนี้ถืออยู่นั้น มีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่
