Facebook ได้ประกาศตัวเข้าสู่แพลตฟอร์มสกุลเงินผ่านระบบ Block-chain เป็นของตัวเองอย่าง Libra ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะดูเป็นแพลตฟอร์มสกุลเงินที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักลงทุนรายน้อยใหญ่ทั่วโลก แต่ก็ถูกถาโถมไปด้วยข้อครหาจากแทบจะทุก ๆ รัฐบาลโดยเฉพาะชาติมหาอำนาจทั้งหลายที่ล้วนแต่แสดงความกังวลว่า นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งการเข้าแทรกแซงระบบการเงินโลกของ Facebook ที่อันตรายมาก
หลังจากมีกระแสและกระบวนการตรวจสอบบรรดา Tech Giants ของโลกต่อความสุ่มเสี่ยงที่จะอยู่ในสถานะ “ผูกขาดทางการค้า” มาตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ล่าสุดพนักงานสอบสวนของสภา Congress สหรัฐ ฯ ได้เริ่มกระบวนการตรวจสอบอย่างเป็นทางการขึ้นแล้ว หลังจากมีการทำคำสั่งขอเรียกดูพยานหลักฐานจากยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันนำร่องโดย Amazon | Apple | Facebook | Google ที่ถูกเรียกให้นำส่งและชี้แจงเอกสารชนิดละเอียดยิบเลยทีเดียว
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Instagram ได้ประกาศทำการทดลองซ่อนจำนวนไลค์ในประเทศแคนาดา แถมเสียงตอบรับที่ได้ก็ค่อนข้างดีจนพวกเขาต้องขยายภูมิภาคการทดลองครั้งนี้ไปยังประเทศอื่นๆ อย่างไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น, บราซิล, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ล่าสุดดูเหมือนว่า Facebook จะลองใช้วิธีนี้ดูบ้างแล้ว โดยจุดประสงค์ก็เพื่อลดการเปรียบเทียบยอดไลค์กับคนอื่นนั่นเอง
นับตั้งแต่ทั่วโลกเริ่มตื่นตัวเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลกันมากขึ้นในช่วง 1 – 3 ปีที่ผ่านมา บรรดายักษ์ใหญ่แห่งโลกเทคโนโลยีก็ทยอยกันเผยธาตุแท้ออกมาให้เห็นกันเรื่อย ๆ เลยว่าธูรกิจที่พวกเขาดำเนินกันอยู่นั้น ใช้ประโยชน์จากข้อมูลอันเป็นสิทธิส่วนบุคคลของพวกเราไปมากแค่ไหน เช่นเดียวกับช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ บรรดาบิ๊กเนมสัญชาติอเมริกันต่างพากันทยอยออกมายอมรับว่ามีการใช้พนักงานนั่งฟังคลิปเสียงของพวกเราในรูปแบบต่าง ๆ กันทั้งนั้น แต่ไม่เคยบอกจนวันนี้นี่เอง
ปีที่แล้ว Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ออกมาประกาศว่าทางบริษัทกำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่สามารถให้ผู้ใช้งานเลือกลบประวัติข้อมูลต่างๆ ที่แชร์กับเว็บไซต์หรือแอป third-party ต่างๆ วันนี้เองพวกเขาก็ทำสำเร็จ เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่แล้วในชื่อว่า Off-Facebook Activity โดยเบื้องต้นจะเปิดให้ใช้งานได้เพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น
เรียกว่าฉาวกันต่อไปยาว ๆ สำหรับ Facebook Inc. ที่ล่าสุดถูกพนักงานออกมาแฉว่า มีการจ้างพนักงานแบบ Outsource ซึ่งนับเป็นบุคคลภายนอกมานั่งฟังคลิปเสียงที่ถูกส่งผ่านระหว่างผู้ใช้บริการแอปพลิเคชั่น Messenger เพื่อตรวจสอบฟังก์ชั่น Audio Transcribe ที่เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 2015 โดย Facebook ได้ออกมายอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่ล่าสุดได้เลิกทำมา “กว่า 1 สัปดาห์แล้ว”
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Facebook เพิ่งจะทยอยปล่อยให้ผู้ใช้งานกว่าพันล้านคนใช้ได้ใช้ Dark Mode บนแอป Messenger มาวันนี้เองดูเหมือนว่าพวกเขาก็เริ่มเตรียมการที่จะอัพเดทแอปหลักให้มีฟีเจอร์ถนอมสายตาอย่าง Dark Mode เหมือนกันแล้ว
นอกจากระบบล่มเก่งแล้ว ช่วงนี้ดูท่าอาจจะจ่ายค่าปรับเก่งอีกด้วยสำหรับ Facebook หลังจากล่าสุดแพ้อุทธรณ์คำร้อง สำหรับคดีในศาลชั้นต้นของมลรัฐอิลลินอยซ์ ในข้อหากระทำการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลในข้อมูลชีวภาพประเภท Face Recognition โดยถูกสั่งให้กลับไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันต่อในศาล คาดอาจสูญเงินไปกับค่าปรับส่วนนี้อีกร่วม ๆ แสนล้านบาทเลยทีเดียว
หลายคนที่ติดตามข่าวสาร IT น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าเมื่อหลายปีก่อน Facebook นั้นได้เข้าซื้อกิจการของสองแอปชื่อดังอย่าง Instagram และ WhatsApp ซึ่งทั้งสองแอปยังมีทีมงานนักพัฒนาเป็นของตัวเอง ไม่ได้ขึ้นตรงกับ Facebook แม้ว่าจะมีการใช้ระบบหลังบ้านเดียวกัน (Facebook ล่ม IG ก็ล่มด้วย) ล่าสุดพวกเขาเองก็เตรียมเปลี่ยนชื่อใหม่ให้กับสองแอปดังกล่าวโดยเติมคำว่า “From Facebook” ต่อท้ายข้างหลังเพื่อย้ำเตือนว่าทั้งคู่นั้นอยู่ภายใต้หลังคาของ Facebook
เหตุการณ์นี้เกิดจากกระทู้ในเว็บไซท์ Pantip ที่ใช้ชื่อว่า “บัญชี Line โดนขโมยได้ง่ายๆ แม้จะลงทะเบียน Mail/Facebook ไว้ และยังใช้เบอร์เดิม” ซึ่ง จขกท. โดนแฮ็ก Line ข้อมูลหายหมด แถมโดนเปลี่ยนพาสเวิร์ดไป ทำให้ไม่สามารถล็อคอินกลับคืนมาได้อีกด้วย
